140% growth during COVID-19
ในช่วงสถานการณ์ COVID-19 มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมาย ไล่เรียงตั้งแต่ธุรกิจทุกแขนง ไปจนถึงปัจจัยที่สร้างผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด นั่นก็คือ “พฤติกรรมใหม่ของผู้บริโภค” ที่ระลอกนี้ไม่ได้ค่อยๆ เปลี่ยนผันไปตามยุคสมัย แต่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันภายในไม่กี่วัน และจะไม่ใช่แค่สิ่งที่ผ่านพัดแบบเดี๋ยวมาเดี๋ยวไป เพราะการเกิด “พฤติกรรมใหม่” ไม่ว่าจะครั้งไหน ก็จะฝังรากลึกลงไปในชีวิตประจำวันของผู้คน จนกลายเป็น “ความปกติใหม่” หรือที่เราเรียกกันว่า “New Normal”
เมื่อทุกอย่างกลายเป็น New Normal หลายสิ่งที่เตรียมจะลอนช์ใหม่ก็ต้องชะลอไว้ เพราะกลายเป็นการสื่อสารแบบเก่าชั่วข้ามวัน หลายธุรกิจจึงเลือกที่จะหยุดแคมเปญทั้งหมดชั่วคราว บ้างก็ลดงบการสื่อสารการตลาดที่มีอยู่ลง ทุกอย่างหยุดนิ่งจนไปถึงขั้นติดลบ และเสี่ยงต่อการถูกดิสรัปต์โดย “New Normal” ไปโดยปริยาย
ในขณะเดียวกัน CJ WORX ดิจิทัลเอเจนซี่สัญชาติไทย ที่โดดเด่นในเรื่อง Creativity และ Data Driven Performance ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า แม้ในสถานการณ์วิกฤติ ธุรกิจก็สามารถทะยานเติบโตได้มากถึง 140% โดยไม่จำเป็นต้องหยุดการโปรโมตใดๆ เพียงต้องจัดลำดับความสำคัญของการสื่อสารใหม่ ให้สอดคล้องกับ New Normal ของผู้บริโภค และกุญแจสำคัญที่ส่งให้ CJ WORX พาลูกค้าไขผ่านวิกฤตินี้ไปได้ก็คือ “DMP” นั่นเอง
Data ecosystem is the solution for today businesses.
1. เข้าสู่ยุค ทุกอย่าง “ออนไลน์เต็มรูปแบบ”
อย่างที่ทราบกันว่า การเกิด COVID-19 ทำให้คนอยู่บ้าน และใช้เวลาบนอินเทอร์เน็ตมากขึ้นที่สุดในประวัติศาสตร์ นั่นหมายความว่า แม้จะผ่านพ้นช่วงวิกฤตินี้ไป ผู้คนทุกช่วงอายุก็ตระหนักและคุ้นชินกับการทำอะไรหลายๆ อย่างบนออนไลน์ได้หมดแล้ว แบรนด์ต่างๆ จึงต้องเร่งจัดสรรงบประมาณ ปรับกลยุทธ์จากออฟไลน์ เข้าสู่ออนไลน์อย่างเร่งด่วน ดังนั้น การใช้ DMP รวบรวมข้อมูลพฤติกรรมของผู้บริโภคบนโลกออนไลน์ไว้ในถังเดียว เพื่อเรียนรู้ คาดการณ์พฤติกรรม และเสิร์ฟ ads ที่ตรงความต้องการของแต่ละคนกลับไปได้แบบ Realtime จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวด รวดเร็ว และช่วยให้แบรนด์สามารถใช้งบได้อย่างมีประสิทธิผลที่สุด
2. เศรษฐกิจทรุด ส่งให้คน “คิดก่อนซื้อ” มากกว่าที่เคย
นอกจากวิกฤติไวรัส ก็ยังมีพิษเศรษฐกิจที่ทรุดลง จนทำให้คนทั้งโลกต้องรัดเข็มขัด ใช้เวลาพิจารณาก่อนตัดสินใจซื้อมากขึ้น และสนใจที่โปรโมชั่นเป็นอันดับแรก ทำให้แบรนด์ต่างๆ ยิ่งต้องออกข้อเสนอส่วนลดมาดึงดูดลูกค้า แต่ DMP จะช่วยให้แบรนด์ส่งข้อเสนอที่โดดเด่น ดึงดูดใจผู้บริโภคกว่าทุกข้อเสนอ ด้วยอินไซต์ที่ลึกกว่า เข้าใจกว่า และรวดเร็วยิ่งกว่า เพราะเป็นการประมวลผลแบบรายบุคคล ที่ส่งให้เฉพาะเป้าหมายที่มีแนวโน้มในการซื้อเท่านั้น และยังทำให้เกิด Brand Love มากยิ่งขึ้น เพราะหลังจากปิดดีลแล้วก็รู้งาน เลิกส่ง ads ซ้ำหาคนคนนั้น ไม่กวนใจ และไม่หว่าน ads กลางๆ ที่ไม่ตอบโจทย์ เพราะเสิร์ฟ ads ถูกคน ตรงจุดตั้งแต่แรกแล้ว
3. Prime Time กลายเป็นของเก่า เมื่อยุคนี้เราต่างมี “Personal Prime Time”
พฤติกรรมของผู้คนในปัจจุบันซับซ้อนขึ้นกว่าเดิม ด้วยเราทุกคนต่างมี Screen และ Personal Prime Time เป็นของตัวเอง นั่นหมายความว่า Prime Time ของกลุ่มเป้าหมายแต่ละแบรนด์นั้นไม่มีอีกแล้ว เพราะทุกคนออนไลน์ได้ตลอดเวลา รับข้อมูลต่างๆ แบบมาไวไปเร็ว จึงเป็นชาลเลนจ์ของแบรนด์และเอเจนซี่ที่ต้อง ‘จับความสนใจ’ ของผู้บริโภคให้ได้ ไม่ใช่แค่การหว่าน ads ที่ไม่ถูกที่ถูกเวลา และไม่ถูกคนไปเรื่อย
ดังนั้น การใช้ DMP จะช่วยให้เราเข้าถึงกลางใจอินไซต์ผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว เสมือนเพื่อนที่รู้จัก รู้ใจ และเข้าใจทุกความต้องการของผู้บริโภค ด้วยการเรียนรู้ว่าเขาชอบสินค้ารุ่นอะไร สีอะไร อยู่บนแพลตฟอร์มไหน คำอะไรที่มีความเป็นไปได้ว่าจะ “ฮุค” คนๆ นี้มากที่สุด และแน่นอนว่าทุกอย่างนี้เกิดขึ้นแบบ Realtime เพื่อตอบสนอง Personal Prime Time ของทุกคน
แม้จะเป็นแบรนด์ที่ต้องอาศัยการเยี่ยมชมหน้าร้านออฟไลน์อย่างหนัก แต่ CJ WORX ก็สามารถพาลูกค้าทะยานทะลุยอดขายบนออนไลน์ได้มากถึง 140% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาก่อนหน้าที่ไม่มี DMP อีกทั้งยังช่วยลดค่าใช้จ่ายการจัดการต่างๆ ลงด้วย
“การนำ DMP มาใช้ในช่วงวิกฤติ COVID-19 มันทำให้เห็นได้ชัดว่า การวางรากฐาน Data Ecosystem เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสาร ให้เราพร้อมรู้จัก รู้ใจ และเข้าใจผู้บริโภคได้ทุกสถานการณ์ มันมีความจำเป็นมากขนาดไหนสำหรับแบรนด์ และความจำเป็นนี้ จะทำให้ DMP กลายเป็น ‘New Normal’ ของการทำธุรกิจ นับตั้งแต่เวลานี้เป็นต้นไป”
คุณชวนา กีรติยุตอมรกุล
Managing Director, CJ WORX